Resources / Study info
ทำความเข้าใจกับระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัย ในสหรัฐอเมริกา
ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านสถาบันชั้นนำที่เปิดสอนหลักสูตรอันหลากหลาย ซึ่งดึงดูดนักเรียนต่างชาติให้มาเรียนต่อเป็นจำนวนมาก รวมถึงการศึกษาระดับมัธยมศึกษา และมีวิทยาลัย / มหาวิทยาลัยที่มอบวุฒิการศึกษากว่า 4,300 degree-granting รวมไปถึงภาคสถาบันการศึกษาภาครัฐ / เอกชน ที่มุ่งเน้นการวิจัย ศิลปศาสตร์ วิทยาลัยชุมชน และโรงเรียนที่แสวงหาผลกำไร เป็นต้น
มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เป็นเลิศในระดับโลกเนื่องจากมีทุนสนับสนุนการวิจัยที่ต่อเนื่อง มีสิ่งอำนวยความสะดวกการเรียนการสอนระดับโลก และรางวัลด้านความเป็นเลิศระดับปริญญาที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
ปีการศึกษาของสหรัฐอเมริกา
โดยทั่วไปปีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา จะเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม หรือกันยายน สำหรับภาคฤดูใบไม้ร่วง โดยบางสถาบันเปิดสอนภาคฤดูใบไม้ผลิ ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเมษายน และภาคฤดูร้อนจะเปิดสอนอย่างจำกัด ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม
โดยทั่วไปปริญญาตรีจะใช้เวลาเรียน 3-4 ปี ปริญญาโทใช้เวลาเรียน 1-2 ปี และปริญญาเอกใช้เวลาเรียน 4-7 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และมหาวิทยาลัย
วิทยาลัยหลายแห่งเปิดสอนแบบ 2 ภาคการศึกษา ในขณะที่วิทยาลัยบางแห่งใช้ระบบภาคการศึกษาแบบ 3 ภาคเรียน โครงสร้างที่หลากหลายนี้จะสามารถรองรับความต้องการของนักเรียนได้อย่างยืดหยุ่นนั่นเอง
ระดับการศึกษาของสหรัฐอเมริกา
ระบบการศึกษาในสหรัฐอเมริกาเป็นไปตามโครงสร้างทั่วไป ที่สามารถมีในหลายประเทศ โดยเมื่อนักเรียนสำเร็จการศึกษาอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ว่าจะในสหรัฐอเมริกา หรือในประเทศบ้านเกิด ก็สามารถลงทะเบียนเรียนต่อในสหรัฐอเมริกาได้:
หลักสูตร | ระยะเวลา |
รายละเอียด
|
---|---|---|
Associate Degree | 2 ปี | หลักสูตร Job-oriented เทียบเท่ากับ 2 ปีแรกของการศึกษาระดับปริญญาตรี |
Bachelor’s Degree | 3 – 4 ปี | ระดับปริญญาตรี โดยมีวิชาเอก วิชาโท และวิชาเลือก |
Master’s (Professional) | 1 – 3 ปี | หลักสูตรที่นำไปสู่อาชีพเฉพาะ ระยะเวลาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาขาวิชาที่เรียน |
Master’s (Academic) | 2 ปี | หลักสูตรในสาขามนุษยศาสตร์ ศิลปะ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งมักจะเป็น Pathway สู่หลักสูตรปริญญาเอก |
Doctorate (PhD) | 5 – 8 ปี | เกี่ยวข้องกับการทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งจะนำไปสู่ปริญญาการวิจัย |
สถาบันการศึกษาในสหรัฐอเมริกา
มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา
มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาเป็นสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยกย่อง โดยเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี และปริญญาโทอันหลากหลาย ขึ้นอยู่กับการพิจารณาทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือโครงสร้าง ซึ่งมหาวิทยาลัยบางแห่งยังคงใช้คำว่า “วิทยาลัย” เป็นชื่อปัจจุบัน หลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาภายในมหาวิทยาลัยครอบคลุมหลายระดับ รวมถึงปริญญาโท เช่น M.A., M.S., M.B.A. และ M.F.A. เช่นเดียวกับปริญญาเอก เช่น Ph.D.
ระบบมหาวิทยาลัยในอเมริกามีการกระจายอำนาจ โดยมหาวิทยาลัยของรัฐจะบริหารจัดการโดยแต่ละรัฐ มหาวิทยาลัยในอเมริกามีประเภทย่อยที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละประเภทจะมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง:
- Public Universities: มหาวิทยาลัยเหล่านี้บริหารงานโดยรัฐ และเขตปกครองต่าง ๆ มักเป็นส่วนหนึ่งของระบบมหาวิทยาลัยของรัฐ เช่น ระบบ University of California และระบบ California State University
- Private Universities: สถาบันเหล่านี้มีความหลากหลายอย่างมาก โดยบางแห่งเป็นแบบสังกัดนิกาย หรือนิกายทางศาสนา โดยเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน จะเปิดสอนหลักสูตรการศึกษาที่หลากหลาย และมักจะมีขนาดชั้นเรียนที่เล็กลงเพื่อมีการเอาใจใส่เป็นรายบุคคลมากขึ้น
- Professional Schools: มหาวิทยาลัยบางแห่งที่มีโรงเรียนวิชาชีพเฉพาะทาง เช่น business schools, medical schools, pharmacy schools และ dental schools โดยจะเปิดสอนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ และสาขาวิชาเฉพาะด้าน
Liberal Arts Colleges
Liberal arts colleges เป็นสถาบันการศึกษา 4 ปีที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาแบบรอบด้าน โดยเน้นการสอนแบบโต้ตอบ ชั้นเรียนจะมีจำนวนนักเรียนที่น้อยกว่า และมีอัตราส่วนนักเรียนต่ออาจารย์ต่ำกว่ามหาวิทยาลัย และหลายแห่งเป็นสถาบันเอกชน แต่ก็มีวิทยาลัยศิลปศาสตร์ของรัฐด้วยเช่นกัน
วิทยาลัยเหล่านี้ครอบคลุมสาขาวิชาวิชาการที่หลากหลาย รวมถึงประวัติศาสตร์ ภาษา คณิตศาสตร์ ดนตรี ปรัชญา รัฐศาสตร์ จิตวิทยา ศาสนาศึกษา วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม สังคมวิทยา และการละคร รวมถึงมุ่งเน้นไปที่การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะการสื่อสาร
Community Colleges
Community college เป็นสถาบันการศึกษาที่โดยทั่วไปเปิดสอนหลักสูตร 2 ปี มีการรับเข้าเรียนแบบเปิด ต้อนรับนักเรียนหลากหลายประเภท โดยมักจะมีอัตราค่าเล่าเรียนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับโรงเรียนของรัฐ หรือเอกชนอื่นๆ
สถาบันการศึกษาของสหรัฐอเมริกา สามารถจัดหมวดหมู่ได้ดังนี้
- Ivy League: ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยเอกชน 8 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย Ivy League มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีชื่อเสียงในด้านความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งสถาบันเหล่านี้ได้รับการยกย่องในด้านคุณภาพการศึกษา และมีการแข่งขันสูงในด้านการรับเข้าเรียน
- Public Ivies: การจัดกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการนี้ ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐมากกว่า 30 แห่ง ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิชาการ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สมาชิก Ivy League อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการศึกษาที่มีคุณภาพ ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า
- Specialist Institutions: มหาวิทยาลัยเหล่านี้มีความเป็นเลิศในสาขาเฉพาะ เช่น ดนตรี ศิลปะ และศิลปะประยุกต์ โดยเปิดสอนหลักสูตรเฉพาะทาง ที่ปรับให้เหมาะกับสาขาวิชาเหล่านี้
- Land Grant Colleges and Universities: สถาบันขนาดใหญ่ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐเหล่านี้ มักจะเน้นการศึกษาด้านการเกษตร และด้านเทคนิค ในขณะเดียวกันก็เปิดสอนหลักสูตรที่หลากหลายมากขึ้น
- Research Intensive Institutions: เหมาะสำหรับนักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่กิจกรรมการวิจัย และมีความสำคัญสำหรับการศึกษาขั้นสูง
โดยแต่ละหมวดหมู่จะแสดงถึงแนวทางการศึกษาที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อตอบสนองความสนใจในอาชีพที่หลากหลาย
ระบบ Grading
ระบบการให้เกรดในระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา จะใช้ระบบเป็นตัวอักษรเพื่อประเมินผลการเรียนของนักเรียน ระบบนี้มีวิธีที่เป็นมาตรฐานในการประเมินเพื่อบอกถึงความสำเร็จของนักเรียนในหลักสูตรของตน โดยตารางด้านล่างจะแสดงเกรดตัวอักษรทั่วไป และเกรดเฉลี่ย (GPA) ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะใช้ในระบบการให้เกรดของมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ:
เกรดตัวอักษร | เกรดเฉลี่ย (GPA) |
รายละเอียด
|
---|---|---|
A | 4.0 | ยอดเยี่ยม บ่งบอกถึงความชำนาญในเนื้อหาวิชา |
B | 3.0 – 3.9 | ดี แสดงถึงความเข้าใจที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย |
C | 2.0 – 2.9 | ประสิทธิภาพที่น่าพอใจ ตรงตามข้อกำหนด |
D | 1.0 – 1.9 | แย่ บ่งบอกถึงระดับความเข้าใจว่ามีน้อย |
E | 0.0 | ล้มเหลว แสดงถึงการเข้าใจเนื้อหาไม่เพียงพอ |
ตัวอย่างเช่น หากนักเรียนได้เกรด “A” เกรดเฉลี่ยสำหรับหลักสูตรนั้นจะเป็น 4.0 หากได้รับ “B” เกรดเฉลี่ยสำหรับหลักสูตรนั้นจะอยู่ระหว่าง 3.0 – 3.9 ขึ้นอยู่กับเกรดที่แน่นอนที่กำหนด
เช่นเดียวกัน “C” จะมีเกรดเฉลี่ยตั้งแต่ 2.0 – 2.9 หากนักเรียนได้รับ “D” เกรดเฉลี่ยสำหรับหลักสูตรนี้จะอยู่ระหว่าง 1.0 – 1.9 ซึ่งบ่งบอกถึงระดับความสำเร็จที่น้อยที่สุด ส่วน “F” หมายถึงความล้มเหลว ส่งผลให้เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 0.0
จากนั้น GPA แต่ละรายการจะถูกนำมาใช้ในการคำนวณเกรดเฉลี่ยสะสมโดยรวม ซึ่งเป็นการวัดผลการเรียนของนักเรียนในหลักสูตรต่าง ๆ โดยกรอบการให้เกรดนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการประเมิน และเปรียบเทียบความก้าวหน้าของนักเรียน
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Majors, Minors และ Concentrations
ระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา จะเน้นย้ำถึงความรอบรู้ และทักษะชีวิต โดยกำหนดให้นักเรียนในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยต้องเรียนหลักสูตรที่หลากหลาย โดยให้ความสำคัญกับวิชาศิลปศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ เนื่องจากทางสถาบันจะส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ การใช้เหตุผลเชิงตรรกะ และความสามารถในการสื่อสาร
Majors
ในสหรัฐอเมริกา นักเรียนไม่ควรมุ่งความสนใจไปที่สาขาวิชาที่เลือกเพียงอย่างเดียว สาขาวิชาเอกถือเป็นตัวแทนของสาขาวิชาหลักที่มุ่งสู่เส้นทางอาชีพ หรือการศึกษาต่อ อย่างไรก็ตามจะมีการส่งเสริมการศึกษาที่รอบรู้ และมีหลักสูตรเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิชาเอก
Minors
Minors วิชาโทถือเป็นสาขาสนใจทางวิชาการเพิ่มเติมที่นักเรียนสนใจ ซึ่งจะเรียนควบคู่ไปกับสาขาวิชาเอก โดยมีชั้นเรียนน้อยกว่า
Concentrations
Concentration เป็นสาขาวิชาเฉพาะทางในสาขาวิชาเอก ช่วยให้นักเรียนสามารถเจาะลึกลงไปในสาขาวิชาเฉพาะได้ เช่น ประวัติศาสตร์ University of South Carolina การเรียนรู้จะรวมถึงภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ละตินอเมริกา และสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น ประวัติศาสตร์การเมืองหรือประวัติศาสตร์ศาสนา
เรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา
หากนักเรียนสนใจไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา สามารถติดต่อรับคำปรึกษาฟรี กับ SI-USA ได้ตั้งแต่วันนี้